วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

โรคเอดส์ หรือ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง(Acquired Immune Deficiency Syndome ; AIDS) 
    เป็นโรคที่เกิดจากการมีเชื้อไวรัส HIV เข้าสู่ร่างกาย แล้วไปขยายจำนวนอยู่ภายในเซลล์ที จนเซลล์ทีตายไปเป็นจำนวนมาก จากการที่ไวรัส HIV โจมตีระบบภูมิคุ้มกันนี้ทำให้คนเป็นโรคเอดส์ตายลงไปเป็นจำนวนมากเพราะร่างกายสูญเสียความสามารถในการต่อสู้โรค เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเคย ร่างกายจึงอ่อนแอและเกิดโรคแทรกต่างๆ เช่น โรคปวดบวม(นิวมอเนีย) วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคเริม โรคท้องเสียเรื้อรัง โรคเชื้อราตามผิวหนังและช่องปาก เป็นต้น
โรคภูมิแพ้(allergy)
    เป็นโรคไม่ติดต่อเพราะไม่ได้เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์หรือไวรัส ไม่สามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ แต่โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่ตอบสนองอย่างรุนแรงต่อสิ่งแปลกปลอมที่อยู่รอบๆ ตัว เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่น อาหาร เป็นต้น สิ่งที่เป็นสาเหตุให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านต่อสิ่งแปลกปลอม เราเรียกสิ่งนั้นว่า สารก่อภูมแพ้(allergen) และเมื่อมีสารภูมิแพ้นี้เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทางลมหายใจ ทางเดินอาหาร หรือสัมผัสทางผิวหนัง เซลล์ลิมดฟซ์ที่เผชิญหน้ากับสารเหล่านี้ก็จะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาแต่แอนติบอดีที่สร้างขึ้นมานี้ไม่เหมือนกับชนิดที่ผลิตขึ้นมาในกระบวนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันโดยทั่วไป เพราะเป็นแอนติบอดีที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ในร่างกาย หลั่งสารเคมีที่เรียกว่า ฮิสตามิน(histamine) ออกมาทำให้เกิดอาการ ไอ จาม คันตา คันจมูก หรือน้ำตาไหล เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะอาการแพ้ที่ร่างกายแสดงออกมาตามปกตอทั่วไป ซึ่งไม่รุนแรงมากนัก คนที่ภูมิแพ้รุนแรงจะเกิดอาการเป็นผื่นหรือบวมทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อาการทางเดินหายใจติดขัดจะต้องใช้ยาที่เรียกว่า แอนติฮิสตามิน(anti-histamine) ช่วยขัดขวางหรือลดปฏิกิริยาอาการแพ้เหล่านี้ลงทันที
โรคลูปัส หรือ เอสแอลอี(Systemic Lupus Erythematosus ; SLE)
    เป็นตัวอย่างอีกโรคหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นโรคในกลุ่ม ภูมิคุ้มกันต้านตนเอง(autoimmune disease) กล่าวคือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะต่อต้านและทำลายเนื้อเยื่อหรือเซลล์ของตนเองในระบบต่างๆ เช่น ระบบเลือด ระบบประสาท และระบบขับถ่ายเป็นต้น โรคSLE เป็นโรคเรื้อรังและยังไม่มียาที่ใช้รักษาให้หายขาดได้จริงๆ ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และต้องปฏิบัติตนอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น